4 Forex Trading Strategy

4 รูปแบบ กลยุทธ์การเทรด Forex

อัปเดตล่าสุด:
post view Post views: 2,802

จริตหรือนิสัยตามธรรมชาติของคนเรานั้น ค่อนข้างจะไม่เหมือนกัน เช่น บางท่านอาจจะชอบความสันโดษ ชอบอยู่คนเดียว เงียบ ๆ สงบ ๆ ไม่วุ่นวาย แต่ในขณะที่บางท่านอาจชอบชีวิตแบบสังคมที่มีผู้คนมากมายพลุกพ่าน ดูแล้วครึกครื้น ไม่เงียบเหงาวังเวง

ในการลงทุนในตลาด forex จริต, นิสัย ในการเทรดของเหล่าเทรดเดอร์ของแต่ล่ะท่าน ก็เช่นกัน จะแตกต่างกันไปตามความถนัดที่ชอบของแต่ล่ะท่าน สำหรับบทความในวันนีั การลงทุนเชิงกลยุทธ์แบบไหนทีเป็นสไตล์ของคุณ หรือที่คุณถนัดนั่นเอง บางท่านอาจจะงวยงงว่า กลยุทธ์หรือสไตล์การเทรดมันคืออะไร แล้วตูจะรู้ว่าได้ยังไง ว่าถนัดอะไร เพราะยังไม่รู้เลย ใจเย็น ๆ นะครับ กำลังจะอธิบาย

สำหรับสไตล์หรือรูปแบบเชิงกลยุทธ์ในการลงทุน โดยหลัก ๆ แล้วจำแนกออกเป็น 5 ข้อดังนี้ครับ

  1. Scalping  คือเน้นทำกำไรระยะสั้น ๆ
  2. Day trading คือการเข้าออเดอร์เน้นที่ช่วงของราคามีจังหวะสะบัดหรือสวิงนั่นเอง
  3. Swing trading คือการเทรดโดยเน้นยึดเทรนด์เป็นหลัก
  4. Trend trading คือการเทรด เน้นยึดเทรนด์เป็นหลัก

 

ในแต่ละรูปแบบ มีข้อดี ข้อเสียดังนี้

สารบัญเนื้อหา คลิกเพื่ออ่านในหัวข้อต่างๆ

1. Scalping

คือการเทรดเน้นที่ความถี่ของออเดอร์ เน้นทำกำไรระยะสั้นๆ ส่วนใหญ่ก็จะเล่นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เช่นไม่เกิน 2-3 ชั่วโมงหรือบางทีอาจจะมากกว่า หรือน้อยกว่านี้ ทามเฟรมที่นิยมเล่นกันคือตั้งแต่ 1 นาทีไปจนถึง 5,15, 30 นาที โดยใช้ทามเฟรม 1 ชั่วโมงเป็นตัวคุมภาพรวม ใช้ทามเฟรมรายวันเพื่อดูแนมโน้มในวันถัดไป ข้อดี ข้อเสีย ของการเล่นแบบ Scalping มีดังนี้ครับ

   ข้อดี

  •  สามารถทำกำไรปริมาณมากๆ ในเวลาสั้นๆ (ประมาณ 1-200 จุด , 10 – 20 pip หรือมากกว่า)
  • ยิ่งเข้าถี่ๆยิ่งสร้างกำไรได้เยอะ (เสี่ยงขาดทุนสูงเช่นกัน)
  • เลือกเข้าตลาด(เทรด) เน้นช่วงที่ตลาดมีความผันผวนชัดเจน (ใช้เวลาน้อย)
  • รู้ผลกำไร/ขาดทุนรวดเร็วทันใจ เพราะเน้นลงทุนระยะสั้น เริ่มตั้งแต่ 1 นาที
  • ไม่ต้องวิเคราะห์ตลาดในระยาวให้ปวดหัว เพราะไม่ถือยาวอยู่แล้ว

ข้อเสีย

  • ต้องเฝ้าหน้าจอ
  • มีความเสี่ยงสูง ความถี่ของออเดอร์ช่วยทำกำไรเยอะก็จริง แต่เสี่ยงขาดทุนเยอะเช่นกัน
  • จังหวะที่ตลาดผันผวนมากๆ หากไม่มีการจัดการความเสี่ยงที่ดี มีโอกาสโดนล้างพอร์ต หรือหมดตัวเร็ว
  • ต้องมีประสบการณ์และความชำนาญในตลาดไม่น้อย หากเล่นแนวนี้

 

 

2. Day trading

เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่เน้นทำกำไร ที่จะเทรดจบในวันเดียว ไม่ถือออเดอร์ข้ามคืน เพื่อหลีกเลี่ยงค่า Swap (ค่าดอกเบี้ยถือข้ามคืน) กลยุทธ์ Day trading จะต้องสนใจข่าว ต้องตามข่าว ก่อนออกออเดอร์เสมอ โดยจะเน้นทำกำไร ในช่วงที่มีข่าวสำคัญประกาศ ดังนั้น เทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์นี้จะต้องมีเวลาพอ ต้องติดตามข่าว และเฝ้าหน้าจออย่างต่อเนื่อง

 ข้อดี

  • มีโอกาสทำกำไรได้สูง ถ้าวิเคราะห์ข่าวเป็น 
  • ไม่ต้องเสียค่า Swap เพราะไม่ถือข้ามคืน
  • มีข้อมูลในการวิเคราะห์ตลาดภาพรวม เนื่องจากมีการติดตามข่าวตลอด เป็นคนทันโลก ทันเหตุการณ์

ข้อเสีย

  • ต้องเฝ้าหน้าจอ
  • ต้องคิดวิเคราะห์ข่าว  
  • โอกาสทำกำไร มากน้อย ขึ้นอยู่กับสถานะการข่าว

 

3. Swing trading

กลยุทธ์การซื้อขายแบบ Swing Trading  ของเทรดเดอร์ในตลาด Forex นั้นมีทั้งระยะสั้นและแบบระยะยาว ไม่ขึ้นกับระยะเวลา การถือยาวหรือสั้นจะขึ้นอยู่กับ Timeframe ที่ใช้ เนื่องจากจังหวะที่เทรด เหมาะกับสภาวะตลาดที่มีการแกว่งตัวรุนแรงหรือสภาวะตลาดที่เป็น Sideway

ดังนั้นทักษณะเรื่องการมองกราฟราคาให้ออกว่าอยู่ในแนวโน้มแบบใด จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก การเทรดด้วยวิธีนี้ จะนิยมใช้การจัดการความเสี่ยงด้วยการทำ Hedging หรือการจัดการความเสี่ยงแบบ เฮดจ์ฟันด์ (Hedge Fund) อาจจะใช้การจัดการความเสี่ยงด้วยวิธีอื่น ๆ  ซึ่งมีอยู่มากมาย เช่น Stop loss (แบบมีชั้นเชิง), ฯล แต่ส่วนมากแล้ว จะนิยมใช้ Hedging กันชะเป็นส่วนใหญ่

สำหรับสวิงเทรดดิ่งนี้ สามารถเป็นได้ทั้งระยะสั้น- ระยะกลาง -ระยะยาว เช่นจากรายชั่วโมง – รายวัน – รายสัปดาห์ รายเดือน ไปจนถึงรายไตรมาสก็ได้  (day trade, week trade, month trade) ปกติแล้ว เทรดเดอร์เมื่อเข้ามาอยู่ในตลาดชักระยะหนึ่ง มักจะไต่เต้าเป็นสวิงเทรดดิ่งไปเองโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากทนกำไรไม่ได้ (แต่ทนขาดทุนได้)  คือเมื่อเห็นเป็นกำไรก็มักจะปิดออเดอร์ แล้วหาจังหวะเข้าใหม่นั่นเอง (ส่วนมากเป็นกันทุกคน)

ข้อดี

  • เหมาะกับตลาดที่มี leverage มีความผันผวน
  • เน้นที่จังหวะเข้าเท่านั้น ไม่ต้องสนใจเทรนด์หรือแนวโน้ม
  • ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ (มีเวลาไปไหนมาไหนได้ตามสะบาย)
  • ไม่ต้องเข้าออเดอร์บ่อย (ในวันหนึ่งเข้าไม่กี่ไม้หรือเข้าเพียงไม้เดียว)
  • สามารถซื้อได้หลายๆคู่ พร้อมกัน (เน้นเข้าให้ถูกจังหวะ ถ้าผิดตัดขาดทุนด้วย stop loss ไป)
  • เหมาะกับรูปแบบการจัดการความเสี่ยงโดยใช้ Fixed ล็อท เพื่อความคล่องตัว

ข้อเสีย

  • ต้องหาจุดเข้าให้เป็นและแม่นด้วย (จุดเข้าสำคัญกว่าการมองเทรนด์)
  • โดนลากบ่อย เมื่อเข้าผิดจุด
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการถือกำไรระยะยาว

 

4. Trend trading

สิ่งสำคัญของการใช้กลยุทธ์สไตล์นี้คือ การอ่านเทรนด์ให้ขาด มองเทรนด์ใหญ่เป็นหลัก พูดง่ายก็คือ จังหวะเข้าไม่สำคัญเท่าการมองเทรนด์ขาด (การอ่านเทรนด์สำคัญกว่าหาจังหวะเข้า) และเราจะต้องปล่อยกำไรให้วิ่งไปจนสุดเทรนด์ ไปจนกว่าเราเห็นว่าราคา หรือเทรนด์มันหมด จะไม่ไปต่อแล้ว ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอันใด แล้วคุณก็ปิดจ๊อบ(ปิดออเดอร์) เอากำไรก้อนโต เป็นอันว่าเสร็จภาระกิจ

แต่ก็มีบางท่านที่สับสนกับ Trend follow กับ Swing trading อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ในการเทรดหากคุณตั้ง stop loss และ take profit ไปเรื่อย ๆ ของในแต่ล่ะช่วง ก็เท่ากับว่าเป็นการจำกัดกำไร จำกัดการขาดทุน อย่างนี้ก็ไม่ใช่ Trend follow แต่จะเป็น swing trade ทันที

ฉะนั้น Trend follow จึงมีแค่ตั้ง stop loss แล้วรันไปเรื่อย ๆ โดยไม่ตั้ง take profit ไปจนกว่าเรามองเห็นว่ามันสุดเทรนด์ แล้วปิดออเดอร์รอบเดียว ถึงแม้ว่าจะมีการขาดทุนหลาย ๆ รอบในช่วงที่สวนเทรนด์ แต่เมื่อราคากลับมา แลัววิ่งไปตามเทรนด์หลักจนสุด หรือเห็นว่ามีสัญญาณที่ไม่ดีที่เทรนด์จะไม่ไปต่อแล้ว ก็ปิดทำกำไรรอบเดียว โดยกำไรที่ได้นี้ก็จะ cover การขาดทุนทั้งหมด ไปโดยปริยาย

ข้อดี

  • สามารถนำไปใช้ได้ทุกตลาด เช่น หุ้น
  • ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ (มีเวลาไปไหนมาไหนได้ตามสะบาย)
  • ไม่ต้องเข้าออเดอร์บ่อย (ในวันหนึ่งเข้าไม่กี่ไม้หรือเข้าเพียงไม้เดียว)
  • เลือกระยะการเทรดได้ง่าย เพราะดูจากเทรนด์เป็นหลัก
  • เหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยว่าง เพราะเล่นรอบใหญ่ ระยะยาว
  • ลดความกังกลเพราะไม่ต้องมาคลุกคลีกับกราฟเกินไป
  • ไม่ต้องปวดหัว เพราะใช้ Stop loss ตัดขาดทุนถ้าไปผิดทาง (ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม)
  • สามารถเล่นทามเฟรมระยะสั้นได้เหมือนกัน แต่ต้องมองเป็นเทรนด์ เช่นทามเฟรมรายวัน

ข้อเสีย

  • ไม่เหมาะกับผู้มองเทรนด์ไม่เป็น หรือมองไม่ขาด
  • เป็นการลงทุน ระยะยาว ต้องใช้งบลงทุนสูง
  • ต้องมีความอดทนสูง ใจเย็นมากๆ ไม่ว่ากำไรหรือขาดทุน ในช่วงที่เทรนด์กำลังวิ่ง
  • ในตลาด forex ใช้ระบบมาร์จิ้น มี leverage สูง หากจะถือยาวจริงๆ ต้องมีการคำนวณ วางแผนการที่รัดกุมมากๆ แล้วพอร์ตที่ถือต้องใหญ่มากๆ ตามเทรนด์บวกระยะเวลาที่กำหนด
  • ไม่เหมาะกับนักลงทุนระยะสั้น ที่ต้องการหมุนเงิน

 

บทสรุป

แล้วสไตล์หรือเทคนิคเชิงกลยุทธ์แบบไหนที่เหมาะกับเรา  สไตล์หรือเทคนิคเชิงกลยุทธ์รูปแบบไหนที่เหมาะกับเรา ก็คงดูไม่ยากครับ เอาง่ายๆ เลยดังนี้ครับ

  • Scalping  หากท่านต้องการปั้นพอร์ต ทำกำไรให้เติบโตในระยะสั้น ๆ โดยไม่ซีเรียสกับการเฝ้าหน้าจอก็โฟกัสไปที่ การฝึกกลยุทธ์ ต่าง ๆ เกี่ยวกับ Sclapping เช่น วิธีจัดการความเสี่ยงแบบ Sclapping, กลยุทธ์การทำกำไรแบบ Sclapping, ระยะเวลา(ทามเฟรม) ที่เหมาะกับ Sclapping
  • Day trading หากท่านคือสายโหด กำไรหรือขาดทุน มันเร็วฟ้าผ่าในช่วงพริบตาเพียงไม่กี่นาที อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเร็วแบบฟ้าผ่าสักเพียงไหน หากเราอยู่กับมันนาน ๆ เราก็จะมีแผนรับมือกับมันเอง โดยการใช้กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง ที่มีชั้นเชิงทางเทคนิคที่สูงขึ้น เช่นการทำ Hedging เชิงลึก,การจัดการความเสี่ยงโดยวิเคราะห์จาก Maximum Draw-down ที่เหมาะสม เป็นต้น
  • Swing trading หากคุณอยากมีเวลาว่าง ไม่ชอบเฝ้าหน้าจอ ไม่ต้องเข้าออเดอร์หลายไม้ ก็โฟกัสไปที่การหาจุดเข้าให้แม่น ๆ ฝึกกลยุทธ์ต่างที่ใช้กับ swing trade
  • Trend trading ถ้าท่านเป็นคนที่มีทุนหนา มีงบลงทุน(เงิน) ที่เย็นมาก ๆ ไม่ได้นำไปหมุนใช้อะไร เเละตัวท่านเองก็เป็นคนที่ใจเย็น(มากๆ) แบบอดเปรี้ยวไว้กินหวาน มีความเด็ดเดี่ยวและมั่นคง ทนกำไรหรือขาดทุนในระยะยาวได้(ไปจนสุดเทรนด์) เป็นคนมองการไกล อ่านเทรนด์ขาด บวชก่อนเบียด (บวชก่อนเบียด มันเกี่ยวกันไหมเนี่ยะ! 555)